วัฒนธรรมภาคอีสาน

| | 0 ความคิดเห็น


การฟ้อนรำพื้นบ้านอีสาน
ประวัติความเป็นมา




ในราว พ.ศ. 2507 เมื่อครั้งที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงมีพระประสงค์การแสดงของภาคอีสาน เพื่อต้อนรับสมเด็จพระนางเจ้าอะเลียนา และเจ้าหญิงบีทริกซ์ แห่งประเทศเนเธอแลนด์ จึงมีการนำเอาเพลงเซิ้งอีสานคือ จังหวะลำเซิ้งมาใช้ โดยมีท่าถวายบังคม ท่านกบิน ท่าเดิน ท่าดูดาว ท่าม้วนตัว ท่าสนุกสนาน ท่าปั้นข้าวเหนียว ท่าโปรยดอกไม้ ท่าบังแสงอาทิตย์ ท่าเตี้ย (รำเตี้ย) และในการแต่งกายครั้งแรกนั้นจะนุ่งผ้าซิ่นห่มผ้าสไบ เกล้าผมสูง แต่ยังไม่ได้ห้อยกระติบข้าวเพราะเห็นว่ารุงรัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทอดพระเนตร พระองค์จึงรับสั่งให้ใครสักคนหนึ่งลองรำดูว่า ถ้าไม่ห้อยกระติบข้าว หรือห้อยกระติบข้าวแล้วจะเป็นอย่างไร? คุณหญิงเบญจวรรณ อรวรรณ เป็นผู้ทดลองรำดู ครั้งแรกไม่ห้อยกระติบข้าวก็น่ารักดี ครั้งที่สองรำโดยห้อยกระติบข้าวทุกคนก็คิดว่ากำลังน่ารัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งคำเดียวว่า "น่าเอ็นดูดีนี่" ผู้รำทุกคนก็พากันรีบห้อยกระติบข้าวกันใหญ่ทางไหล่ขวาทุกคน การเซิ้งครั้งนั้น ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค เรียกชื่อว่า "เซิ้งอีสาน" ต่อมามีผู้นำเซิ้งอีสานไปแสดงกันทั่วไปแต่เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "เซิ้งกระติบข้าว"
กระติบข้าว หรือภาษาอีสานบางแห่งเรียกว่าก่องข้าว เป็นภาชนะใช้สำหรับใส่ข้าวเหนียว ที่ทรงคุณค่ามากด้วยภูมิปัญญา เก็บความร้อนได้ดี ในขณะที่ยอมให้ไอน้ำระเหยออกไปได้ ทำให้ข้าวเหนียวที่บรรจุอยู่ภายในกระติบหรือก่องข้าวไม่แฉะด้วยไอน้ำ (ต่างจากกระติกน้ำแข็งที่เก็บความร้อนได้แต่ไม่ยอมให้ไอน้ำระเหยออก ข้าวเหนียวจึงเปียกแฉะ)ภูมิปัญญานี้มีเคล็ดลับอยู่ที่การสานกระติบเป็นสองชั้น ชั้นในสุดจะสานด้วยตอกให้มีตาห่างเล็กน้อย เพื่อให้ไอน้ำระเหยออกจากข้าวผ่านช่องว่างภายในกระติบข้าวชั้นในได้ ในขณะที่ชั้นนอกสุดจะสานด้วยตอกที่มีความชิดแน่นหนากว่าเพื่อเก็บกักความร้อนไว้ ไอน้ำที่มีความร้อนอยู่ภายในช่องว่างนี้ จะช่วยทำให้ข้าวเหนียวที่อยู่ภายในกระติบข้าว ยังคงความร้อนได้อีกนาน โดยเมล็ดข้าวจะไม่มีไอน้ำเกาะ จึงไม่แฉะเหมือนกับการบรรจุในภาชนะพลาสติกยุคใหม่ ฝาปิดและตัวกระติบ จะมีลักษณะที่เหมือนกัน เพียงแต่มีขนาดที่ต่างกันเล็กน้อยให้สามารถสวมใส่กันได้พอดี ในส่วนตัวกระติบจะมีฐานรอง ขดเป็นวงกลม มีขนาดเล็กกว่าตัวกระติบเล็กน้อย ยึดด้วยหวายหรือไนล่อนให้ติดกับตัวกระติบ
เซิ้งกระติบข้าว เป็นการแสดงของภาคอีสานที่เป็นที่รู้จักกันดี และแพร่หลายที่สุดชุดหนึ่ง จนทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า การแสดงของภาคอีสานมีลักษณะเป็นการรำเซิ้งเพียงอย่างเดียวเซิ้งกระติบข้าวได้แบบอย่างมาจากการเซิ้งบั้งไฟ ซึ่งแต่เดิมนั้น เซิ้งบั้งไฟในขบวนแห่ หรือเซิ้งในขบวนแห่ต่างๆ ไม่มีท่าฟ้อนรำที่อ่อนช้อย เป็นเพียงยกมือร่ายรำ(ยกมือสวกไปสวกมา)ให้เข้ากับจังหวะกลองและรำมะนาเท่านั้น

ดนตรี ใช้ลายเต้ยโขง
อุปกรณ์ กระติบข้าว
การแต่งกาย ผู้แสดงใช้ผู้หญิงล้วน สวมเสื้อแขนกระบอกคอกลมสีพื้น นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่ ห่มผ้าสไบเฉียง ผมเกล้ามวยทัดดอกไม้ห้อยกระติบข้าวทางไหล่ซ้ายเฉียงไปทางขวา



new year 2010

| | 0 ความคิดเห็น

วันครู

| | 0 ความคิดเห็น




วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษา ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู ด้วยเหตุนี้ในทุก ๆ ปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัยสถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า“ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บันดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง” จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความคิดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่น ๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกันประชาชน ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ให้วันที่ ๑๖ มกราคมของทุกปีเป็น “วันครู” โดยเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นวันครูและให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้



การจัดงานวันครู

การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ
การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรม ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครู จะมีกิจกรรม ๓ ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1. กิจกรรมทางศาสนา

2. พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์

3. กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น

ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้มีการกำหนดให้จัดพร้อมกันทั่งประเทศ สำหรับในส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครู ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด สำหรับส่วนภูมิภาคมอบให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกับส่วนกลางจะจัดรวมกันที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอก็ได้
รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง (หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการจัดงานวันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์และประชาชนร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์ จำนวน ๑,๐๐๐ รูป หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรีบูชาพระรัตนตรัย ประธานสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วพิธีบูชาบูรพาจารย์โดยครูอาวุโสนอกประจำการจะเป็นผู้กล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึกถึงประคุณบูรพาจารย์

สถานที่จัดงานวันขึ้นปีใหม่ 2553

| | 0 ความคิดเห็น







สถานที่ที่ใช้จัดงานปีใหม่ 2553


Night Paradise Hayai Countdown 2010


วันจัดงาน : วันที่ 29 – 31 ธันวาคม 2552
สถานที่จัดงาน : ใจกลางเมืองหาดใหญ่ จ.สงขลา

กิจกรรมภายในบริเวณงานเน้นแสง สี เสียง ซึ่งเป็นไปในลักษณะกิจกรรมบันเทิงและรื่นเริงต่าง ๆ มีการตกแต่งประดับประดาสถานที่ให้สวยงาม ฟรีคอนเสิร์ตจากศิลปินชั้นนำของเมืองไทย การประกวดวงลูกทุ่ง รวมทั้งการแสดงจากสถานบันเทิง/หน่วยงานต่าง ๆ อีกมากมาย กิจกรรมการแสดงในรูปแบบต่างๆ ร่วมพิธีเปิดสุดอลังการและขบวนแห่คาร์นิวัล ร่วมเฉลิมฉลองการนับถอยหลังสู่ปี 2010 (Countdown) กิจกรรม “สีสันเสน่หา” เป็นกิจกรรมบันเทิง บนถนนเสน่หานุสรณ์ในรูปแบบต่าง ๆ จากสถานบันเทิง และโรงแรมในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา การออกร้านจำหน่ายสินค้าจากห้างร้านต่าง ๆ ,ผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP, ร้านอาหารชื่อดัง ของอำเภอหาดใหญ่ และจังหวัดสงขลา มากกว่า 200 ร้านค้า




วันที่ 31 ธันวาคม 2552 – 1 มกราคม 2553
พื้นที่จัดงาน : ถนนท่าแพตลอดสายและบริเวณข่วงประตูท่าแพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่


กิจกรรม
- การแสดงดนตรีและกิจกรรมบันเทิงต่างๆ
- การแสดงคอนเสิร์ต- การนับถอยหลังส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
- มหกรรมอาหารจังหวัดเชียงใหม่
- กิจกรรมถนนคนเดิน



e-commerce3

| | 0 ความคิดเห็น


Electronic Commerce หรือ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
หมายถึง การทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจที่ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริหาร การโฆษณาสินค้า การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
จุดเด่นของ E-Commerce

คือ ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่ม ประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยลดความสำคัญขององค์ประกอบของธุรกิจที่มองเห็นจับต้องได้ เช่นอาคารที่ทำการ ห้องจัดแสดงสินค้า (show room) คลังสินค้า พนักงานขายและพนักงานให้บริการต้อนรับลูกค้า เป็นต้น ดังนั้นข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์คือ ระยะทางและเวลาทำการแตกต่างกัน จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจอีกต่อไป


อุปกรณ์และวิธีการทำ E-commerce
อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบด้วย ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ระบบคอมพิวเตอร์และระบบฐานข้อมูล ระบบสื่อสารอาจเป็นระบบพื้นฐานทั่วไป เช่นระบบโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิทยุ โทรทัศน์ แต่ระบบอินเทอร์เน็ตซึ่งเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วโลก เป็นระบบเปิดกว้าง โดยเป็นระบบเครือข่ายของเครือข่าย ที่เรียกว่า world wide web มาจากความเป็นเอกลักษณ์คือสามารถสร้างให้มี hyperlink จากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่ง ไป webpage อื่น หรือไป website อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังสามารถสื่อได้ทั้งภาพ เสียง และภาษาหนังสือที่หลากหลายซับซ้อน สามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้ทันทีทันใด ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สามารถบันทึกเก็บไว้หรือนำใช้ต่อเนื่องได้ การประยุกต์ใช้ และกระแสตอบรับธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตจึงแพร่หลายภายในระยะเวลาอันสั้น
E-Commerce ใช้ติดต่อกับลูกค้าได้หลายระดับ ธุรกิจกับลูกค้า ธุรกิจกับธุรกิจ ธุรกิจกับภาครัฐ ฯ สาระของการติดต่อจะมี 4-5 ประการ คือ
- การขาย รวมการโฆษณา แสดงสินค้า เสนอราคา สั่งซื้อ คำนวณราคา

- การชำระเงิน การตกลงวิธีชำระเงิน สั่งโอนเงิน ให้ข้อมูลบัญชีธนาคารที่ใช้ตัดบัญชี ตลอดจนเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ ๆ
- การขนส่ง แจ้งวิธีการส่งมอบของ ค่าขนส่ง และสถานที่ติดต่อและระบบติดตามสินค้าที่ส่ง
- บริการหลังการขาย การติดต่อภายในบริษัท เช่นระบบบัญชี คลังสินค้า ระบบสั่งซื้อสินค้าและวัตถุดิบ สั่งผลิต ตลอดจนบริการลูกค้าหลังการขาย

บทบาทภาครัฐกับ E-Commerce
เนื่องจากการทำธุรกิจดังกล่าวมีการแข่งขันกันร้อนแรง ส่วนใหญ่อยู่ในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยเป็นไปได้ที่คู่ค้าอาจไม่เคยรู้จักติดต่อกันมาก่อน ปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากภาครัฐได้แก่ แผนกลยุทธ์การค้าอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ เพื่อมิให้เสียเปรียบเชิงการค้าในระดับโลก โครงสร้างการสื่อสารที่ดีและเพียงพอ กฎหมายรองรับข้อมูลและหลักฐานการค้าที่ไม่อยู่ในรูปเอกสาร ระบบความปลอดภัยข้อมูลบนเครือข่ายและระบบการชำระเงิน
E-Government เป็นอีกมิติหนึ่งของการให้บริการภาครัฐออนไลน์ที่จะเอื้อให้ธุรกิจ ประชาชน ติดต่อใช้บริการ ในกรอบบริการงานแต่ละด้านของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทยให้บริการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์แก่สถาบันการเงิน กรมทะเบียนการค้าให้บริการจดทะเบียนการค้า เป็นต้น นอกจากนี้ การทำ E-Procurement เพื่อการจัดซื้อจัดหาภาครัฐก็เป็นบริการที่ควรดำเนินการ เพราะจะช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเป็นไปตามกรอบนโยบายของที่ประชุมเอเปคด้วย


การชำระเงินบน E-Commerce
จากผลการวิจัยพบว่า วิธีการชำระเงินที่สำคัญสำหรับกรณีธุรกิจกับธุรกิจ ร้อยละ 70 ใช้วิธีหักบัญชีธนาคาร ขณะที่ ธุรกิจกับผู้บริโภคร้อยละ 65 ชำระด้วยบัตรเครดิต
สำหรับในประเทศไทย ผลการสำรวจพบว่าผู้สั่งสินค้าบนอินเทอร์เน็ตร้อยละ 40-60 ใช้บัตรเครดิต อีกร้อยละ 40 ใช้วิธีโอนเงินในบัญชี ซึ่งหมายความรวมถึง Direct Debit, Debit Card และ Fund Transfer เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ระบบการชำระเงินบนอินเทอร์เน็ต มีแนวทางการพัฒนาเพื่อบริการชำระเงินดังนี้
1. บริการ internet banking และ/หรือธุรกิจประเภท Payment Gateway จะเป็น hyperlink ระหว่าง website ของร้านค้ากับระบบของธนาคาร และธนาคารสามารถดำเนินการตามข้อมูลที่ได้รับเพื่อตัดโอนเงินในบัญชีของลูกค้า หรือส่งเป็นคำสั่งโอนเข้าระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน

2. สำหรับการชำระเงินที่เป็น Micro Payment การใช้เงินดิจิทัลซึ่งบันทึกบนบัตรสมาร์ตการ์ด หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถสร้างเสริมระบบความปลอดภัยให้มั่นใจได้เหนือกว่าระบบบัตรเดบิตและบัตรเครดิตทั่วไป จึงเป็นแนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจและเหมาะสม

e-commerce2

| | 1 ความคิดเห็น


ประเภทของ E-Commerce

E-Commerce แบบ C <--> B เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ซื้อหรือผู้บริโภค (Customer)กับผู้ขาย (Business)ซึ่งเป็นการซื้อสินค้าที่พบเห็นได้ทั่วไป เช่น ลูกค้าต้องการซื้อหนังสือจากร้านขายหนังสือ
E-Commerce แบบ B <--> B เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ขาย (Business)กับผู้ขาย(Business) ซึ่งเป็นการขายสินค้าที่มีจำนวนมากขึ้น ต้องการความปลอดภัยมากขึ้น เช่น ร้านขายหนังสือต้องการสั่งซื้อหนังสือจากโรงพิมพ์
E-Commerce แบบ B <--> C เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ขาย(Business) กับผู้ซื้อ(Customer) เช่นโรงพิมพ์ต้องการซื้อต้นฉบับจากผู้เขียน
E-Commerce แบบ C <--> C เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ซื้อ(Customer) กับผู้ซื้อ(Customer) เช่นผู้ซื้อต้องการขายรถยนต์ของตนเองให้กับผู้ซื้ออีกคน

ความสัมพันธ์ในระบบการค้าอิเล็กทรอนิค(E-Commerce)การดำเนินธุระกิจการค้าบนอินเทอร์เนตหรือ E-Commerce จำเป็นจะต้องมีความสัมพันธ์เกิดขึ้นกับผู้เกี่ยวข้อง โดยจะต้องมีการประสานงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การค้าอิเล็กทรอนิคประสบความสำเร็จตามที่ได้มุ่งหวังไว้ โดยผู้ที่เกี่ยวข้องกันในระบบการค้าบนอินเทอร์เนตหรือ E-Commerce ได้ดังนี้

ธนาคารมีหน้าที่

1.เป็น Payment Gateway ก็คือจะตรวจสอบและอนุมัติวงเงินของผู้ที่ถือบัตร เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ

2.ให้บริการบนอินเทอร์เนตผ่านทางระบบของธนาคาร โดยธนาคารจะโอนเงินค่าสินค้า หรือบริการนั้นๆ เข้าบัญชีของร้านค้า หรือสมาชิก

Transaction Processing Service Provider (TPSP)หน้าที่

1.เป็นองค์กรผู้บริหาร และพัฒนาโปรแกรมการประมวลผลการชำระค่าสินค้าหรือบริการบนอินเทอร์เนต

2.ให้บริการผ่านอินเทอร์เนตกับร้านค้า หรือ Internet Service Provider(ISP)ต่างๆ ผ่าน Gateway

3.TPSP สามารถต่อเชื่อมระบบให้กับทุกๆ ร้านค้าหรือทุกๆ ISP และสามารถชำระเงินบนอินเทอร์เนตผ่านทาง Gateway ของธนาคารได้

ลูกค้า(Customer)หน้าที่

1.สามารถชำระเงินค่าสินค้า หรือบริการได้ด้วย บัตรเครดิต บัตรเครดิตวีซ่า หรือมาสเตอร์การ์ดจากทุกสถาบันการเงินทั่วโลก

2.สามารถชำระเงินค่าสินค้า หรือบริการได้ด้วยระบบหักบัญชีเงินฝากของธนาคาร

ร้านค้า (Merchant)หน้าที่

1.เปิดร้านขายสินค้าหรือบริการผ่านระบบอินเทอร์เนต โดยการเปิด Home Page บน Site ของตนเอง

2.หรือเปิดร้านขายสินค้าหรือบริการโดยการฝาก Home Page ไว้กับ Web Site หรือ Virtual Mall ต่างๆเพื่อขายสินค้าหรือบริการผ่านระบบของธนาคาร

3.ร้านค้าต้องเปิดบัญชีและสมัครเป็นร้านค้าสมาชิก E-Commerce กับธนาคารก่อน

Internet Service Provider (ISP)หน้าที่

1.เป็นองค์กรผู้ให้บริการเชื่อมต่อระบบการสื่อสารทางอินเทอร์เนตให้กับลูกค้า ซึ่งลูกค้าในที่นี้อาจจะเป็นร้านค้าหรือบุคคลทั่วไป

2.รับและจดทะเบียน Domain หรือจัดตั้ง Virtual Mall เพื่อให้ร้านค้านำ Home Page มาฝากเพื่อขายสินค้า



ขั้นตอนการเปิดร้านเพื่อดำเนินการค้าแบบ E-Commerce
อธิบายขั้นตอนการเปิดร้านค้าแบบ E-Commerceจากรูปจะเห็นว่าลำดับขั้นตอนในแต่ละขั้นตอนเพื่อการเปิดร้านค้าแบบ E-Commerce นั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อนเลยใช่ไหมครับ

1. ในขั้นตอนแรกนั้นถ้าเราเขียน Home Page ไม่เป็นเราจะศึกษาด้วยตัวเอง หรือเพื่อเป็นการประหยัดเวลาเราสามารถจ้างให้คนอื่นเขียนเว็บไซต์ให้หรือว่าใช้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูปที่มีให้บริการอยู่หลายเว็บไซต์ หรือจะใช้บริการกับ ReadyPlanet ของเราก็ได้ครับ

2. หลังจากที่ดำเนินการในขั้นตอนแรกเสร็จแล้ว มี Home Page เป็นของตัวเองแล้วจากนั้นก็มาดำเนินการจด Domain กับเว็บไซต์ที่เปิดให้บริการ

3. เมื่อมี Domain เรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นการเปิดบริการการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต เราก็ต้องมาดำเนินการจดทะเบียนเพื่อรอรับโปรแกรมการชำระเงินผ่านทางอินเทอร์เนตจากผู้ให้บริการ TPSP

4. จากนั้นก็ขออนุมัติการเปิดร้านค้าและบัญชีเงินฝากจากธนาคารใดก็ได้ที่ให้บริการการชำระเงินผ่านทางอินเทอร์เนต เพื่อรองรับการชำระเงิน

5. หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทุกขั้นตอนที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น เรามีร้านค้าแบบ E-Commerce เป็นของเราเรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถดำเนินการธุรกิจการค้า E-Commerce


ระบบรักษาความปลอดภัย

เนื่องจากระบบร้านค้าแบบ E-Commerce ได้เปิดให้บริการการชำระเงินผ่านทางบัตรเครดิตด้วย ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยเรื่องการชำระเงินจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งและเป็นตัวสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่เว็บไซด์ของเรา ดังนั้นเราจึงขอพูดถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ในระบบอินเทอร์เนตเพื่อเป็นความรู้เพิ่มเติมแก่เพื่อนๆ สมาชิก ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้

1. Encryption เป็นการเข้ารหัสและถอดรหัสระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำกิจกรรมซื้อขายในเครือข่ายอินเทอร์เนตหรือระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ ซึ่งระบบนี้เป็นระบบที่ยอมรับกันทั่วไปบนอินเทอร์เนต

2. Authentication เป็นระบบสำหรับตรวจสอบ ซึ่งจะตรวจสอบว่าเป็นผู้ได้รับอนุญาตตัวจริงให้เข้าถึงระบบและบริการในชั้นที่กำหนดให้ โดยให้แจ้งข้อมูล Password ของผู้ได้รับอนุญาต

3. Firewalls เป็นระบบที่ทำงานร่วมกันระหว่าง Hard และ Software โดย Firewalls จะวางอยู่ระหว่างเครือข่ายภายในองค์กร (Local Network)และเครือข่ายภายนอก (Internet) เพื่อป้องกันการบุกรุกจากบุคคลภายนอกที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาขโมยข้อมูลหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูล (Hacker) โดยผ่านทางเครือข่ายภายนอก (Internet)

4. PKI System (Public Infrastructure) เป็นกลุ่มข้อ Security Services ซึ่งปรกติจัดให้โดย Certificate (CA), Authentication, Encryption และ Certificate Management ใช้เทคโนโลยีการเข้าและถอดรหัสโดยกุญแจสาธารณะ

e-commerce1

| | 0 ความคิดเห็น


ความหมายของ E-Commerce
E-Commerce ก็คือ การดำเนินการธุรกิจการซื้อหรือการขายสินค้าบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต โดยที่ผู้ซื้อสามารถทำธุรกรรมทั้งหมดได้บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการเลือกชมสินค้า ซื้อสินค้า คำนวนเงินที่ต้องชำระ ชำระเงินได้ทั้งผ่านบัตรเครดิต โอนเงิน ได้โดยอัตโนมัติ และในส่วนของผู้ขายเองก็สามารถนำเสนอสินค้า ประชาสัมพันธ์ จัดโปรโมชัน ตรวจสอบวงเงินบัตรเครดิตของลูกค้า รับการชำระเงิน จัดการกับสินค้าได้ทั้งหมดเหมือนกับมีร้านค้าจริงๆ ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม ลด แก้ไข รายการสินค้าภายในร้าน รวมถึงการประสานงานไปยังผู้จัดส่งสินค้า โดยอัตโนมัต ซึ่งกระบวนการทั้งหมดที่ได้กล่าวมาสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต โดยที่ผู้ซื้อและผู้ขายไม่ต้องเดินทางไปพบกัน


ข้อดีและข้อเสียของ E-Commerce
ข้อดี

1.สามารถเปิดดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง

2.สามารถดำเนินการค้าขายได้อย่างอิสระทั่วโลก

3.ใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ

4.ไม่ต้องเสียค่าเดินทางในระหว่างการดำเนินการ

5.ง่ายต่อการประชาสัมพันธ์ และยังสามารถประชาสัมพันธ์ในครั้งเดียวแต่ไปได้ทั่วโลก

6.สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ใช้บริการอินเทอร์เนตได้ง่าย

7.ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย

8.ไม่จำเป็นต้องเปิดเป็นร้านขายสินค้าจริง

ข้อเสีย

1.ต้องมีระบบการรักษาความปลอดภัยของระบบที่มีประสิทธิภาพ

2.ไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ไม่ได้ใช้บริการอินเทอร์เนตได้

3.ขาดความเชื่อมั่นในเรื่องการชำระเงินผ่านทางบัตรเครดิต

4.ขาดกฎหมายรองรับในเรื่องการดำเนินการธุรกิจขายสินค้าแบบออนไลน์

5.การดำเนินการทางด้านภาษียังไม่ชัดเจน

อาชีพของประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

| | 0 ความคิดเห็น





อาชีพในภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือการเพาะปลูก พืชที่สำคัญคือ ข้าว มันสำปะหลัง ปอ ข้าวโพด ภาคนี้มีพื้นที่ทำนามากกว่าภาคอื่น ๆ แต่ผลิตผลที่ได้ต่ำ เพราะดินของภาคอีสานเป็นดินปนทรายไม่อุ้มน้ำและการทำนาส่วนใหญ่อาศัยน้ำฝนซึ่งไม่ค่อยแน่นอน บางปีมีน้ำมาก บางปีไม่มีน้ำเลย พอถึงฤดูแล้งน้ำในแม่น้ำลำธารจะเหือดแห้งไปเสียส่วนใหญ่ จึงจะพบว่าพอถึงหน้าแล้งประชาชนจะอพยพไปหางานทำต่างถิ่นเป็นจำนวนมาก ถึงฤดูฝนประชาชนก็ไม่ได้เตรียมการเก็บกักน้ำฝนไว้ใช้ให้เป็นที่แพร่หลายกัน เว้นแต่เก็บน้ำฝนไว้ดื่มกินเท่านั้น การขาดแคลนน้ำในภาคนี้ทำให้ไม่ค่อยมีการปลูกพืชหลังการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ทำให้ผลผลิตมีน้อยเป็นเหตุให้ประชากรในภูมิภาคนี้มีความยากจนเป็นส่วนมาก ปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรทำให้เกิดโครงการน้ำพระทัยจากในหลวง หรือที่รู้จักกันในนาม โครงการอีสานเขียว ความมุ่งหมายของโครงการนี้เพื่อหวังจะยกระดับความเป็นอยู่ของประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้ดีขึ้น โดยการหาและสร้างแหล่งน้ำ ปรับปรุงวิธีการประกอบอาชีพ ปรับปรุงด้านสุขภาพอนามัย สิ่งสำคัญที่ควรจะพิจารณาคือพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือหลายแห่งไม่เหมาะสำหรับปลูกข้าว เพราะข้าวต้องการน้ำมาก แต่เหมาะสำหรับเลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะการเลี้ยงวัว แต่การเลี้ยงวัวเลี้ยงควายโดยการปลูกหญ้าให้เป็นอาหารสัตว์นั้นยังทำกันไม่ค่อยแพร่หลายในภาคนี้ การเลี้ยงสัตว์จึงไม่ค่อยได้ผล สำหรับงานฝีมือ เช่น การทอผ้าไหมและการจักสานในภาคนี้ทำกันได้ดีมีฝีมือประณีต แต่การทำในลักษณะที่เป็นกิจการใหญ่โตทำครั้งละมาก ๆ เพื่อการค้ายังไม่เป็นที่นิยมกันในหมู่ประชาชน เนื่องจากความขัดสนในพื้นที่ผู้คนในภาคนี้จึงได้ดิ้นรนไปหางานทำกันในภาคอื่น ส่วนมากไปในลักษณะการบุกเบิกหาที่ทำกินใหม่ เรียกว่า " หานาดี " ในภายหลังการหานาดีก็ทำได้ยาก เพราะไม่มีพื้นที่จะให้บุกเบิกใหม่ ส่วนใหญ่จึงไปทำงานรับจ้างในที่ต่าง ๆ และไปกันถึงต่างประเทศ เช่น ประเทศสิงคโปร์ บรูไน และในประเทศเขตทะเลทรายตะวันออกกลาง ปัญหาของภูมิภาคนี้คือการหาหนทางปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ในภูมิภาค สร้างอาชีพใหม่ ๆ ให้เข้ากับสภาพทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ โดยเฉพาะการเลี้ยงสัตว์และตั้งโรงงานที่รองรับผลิตผล เหล่านี้จะสามารถแก้ปัญหาในภูมิภาคนี้ได้มาก